เช้าวันแรกในสวิตเซอร์แลนด์ ฝนก็ยังคงตกพรำๆ ตื่นมาตอนเช้า ก็รีบจัดการแต่งตัว ลงไปทานอาหารเช้าของ Youth ที่มีให้บริการในชั้นล่าง Youth ที่นี่ใหม่ และสะดวกสบาย และการพัก Youth ก็ทำให้เราได้เพื่อนใหม่ เป็นสาวชาวเกาหลีสองคน คุยกันสนุกเลยทีเดียว
อาหารเช้าง่ายๆ ที่มีบริการ ก็มีน้ำผลไม้ ชา กาแฟ ที่ทำจากเครื่องทำกาแฟสด สามารถบริการตัวเองได้ ขนมปัง แฮม และสลัด แล้วแต่เราจะเลือกกิน ปกติแล้วเราจะออกไปหาทานเอง แต่ที่นี่เค้ามีให้ก็จัดเลย หน้าตาหน้ากินเหมือนกัน
ระหว่างทานอาหาร ก็คิดไปด้วยว่าวันนี้จะทำอย่างไรดี ถ้าหากฝนไม่หยุด แต่ถึงอย่างไรก็มาแล้ว อย่างน้อย บนยอดเขา Joungfrau ก็มีถ้ำน้ำแข็งให้ถ่ายรูปละน่า เอาไงก็เอากัน ทานอาหารเสร็จก็รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปขึ้นรถไฟได้ทัน
Youth ที่นี่มีส่วนกลาง และ wifi free ในส่วนกลางให้เล่นได้ มีโต๊ะ Pool และพื้นที่สาธารณะกว้างขวางพอสมควร
โซนนั่งเล่น มีหนังสือให้อ่านด้วย
มองตรงไปนั่นคือโซนทานอาหาร
เมื่อทานอาหารกันจนอิ่มหนำแล้ว ก่อนออกเดินทาง เราซื้อโปสการ์ดเพื่อขึ้นไปส่งที Jungfrau การส่งโปสการ์ดกลับบ้าน ทำให้เมื่อกลับไปยังประเทศไทยแล้ว จะได้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่ง เราเคยมาเยือน ณ ที่แห่งนี้ ส่วน Stamp สามารถหาซื้อได้ที่ Cope คือ supermarket ของที่นั่น ซึ่งราคาจะแตกต่างไปตามปลายทางที่เราจะส่งค่ะ
จริงๆ แล้วถ้าตามแผนที่วางเอาไว้ เราจะต้องออกเดินทางตอน 8.00 แต่เนื่องด้วยโอ้เอ้ไปมา เลยได้ออกเดินทางตอน 9.35 ซึ่งก็ไม่ได้ช้าไปค่ะ รถไฟมีอยู่ทุกครึ่งชั่วโมง เนื่องจากเราตรวจสอบตารางเวลารถไฟเอาไว้แล้ว เรามาอธิบายการเดินทางไปยัง Jungfraujouh กันค่ะ
เส้นทางสู่ Jungfraujouh หรือ ยุ้งเฟราย๊อค
การขึ้นไปยัง Jungfraujouh มีอยู่สองเส้นทางด้วยกัน นั่นคือ Grindelwald (กรินเดอร์วาวด์) และ Lauterbrunnen (เลาท์เทอร์บรุนเนน) แล้วแต่ว่าจะสะดวกเลือกขึ้นทางไหน แต่ยังไงสองเส้นทางก็จะมาบรรจบกันที่สถานี Kleine Scheidegg(ไคลเนอร์ไซเด็ก) เพื่อเปลี่ยนรถไฟไปยัง สถานี Jungfraujoch สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในโลก
map jungfrau
สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เราได้ซื้อ Swiss pass พร้อมกับ Voucher ตั๋วขึ้น Jungfraujouhมาแล้วจาก GTA จะขึ้นหรือว่าลงทางใดก็ได้แล้วแต่เราเลือก เพียงแค่นำไปที่สถานี Interlaken ostเราก็สามารถเปลียนเป็นตั๋วขึ้น Jungfraujouhโดยแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเราจะขึ้นทางใดลงทางใดค่ะ สำหรับเราเลือกขึ้นทาง Grindelwaldและลงทางฝั่งของ Lauterbrunnenเพื่อจะได้ชมบรรยากาศทั้ง 2 ฝั่งอย่างเต็มที่ หลังจากออกตั๋วเดินทาง เจ้าหน้าที่จะให้เอกสารการท่องเที่ยว แผ่นตารางเวลาการเดินรถไฟเล็กๆ พร้อม Jungfrau passport เล่มสีแดงแรงฤทธิ์มาค่ะ
ตั๋วขึ้น Jungfrau
ตารางการเดินทางเมื่อเลือกขึ้นทาง Grindelwald
เริ่มออกเดินทางจากสถานี Interlaken ost เวลา 9.35ถึงสถานี Grindelwald เวลา 10.09เราก็จะเปลียนขบวนรถไฟ ไปยังสถานี KleineScheidegg (ไคลเนอร์ไซเดก) มีเวลาให้เราเปลี่ยนรถไฟค่ะเนื่องจากรถจะมาประมาณ 10.17 อาจะต้องรอสักครู่ค่ะ รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟสีเหลืองน้ำเงิน ซึ่งมีทั้งโบกี้ ชั้น 1 และชั้น 2 ตั๋วของเราเป็นแบบชั้น 2 ค่ะ แอบประหยัดนิดนึง แต่ก็แอบไปถ่ายรูปชั้น 1 ด้วย จริงๆตอนไปนั่งไม่รู้ว่าคือโบกี้ ชั้น1 แอบปล่อยไก่ตัวเบ่อเริ่ม แต่นายตรวจก็ใจดีมาแจ้ง เราเลยเดินไปนั่งที่ชั้น 2 ค่ะ
บรรยากาศชั้น 1
ความจริงที่ได้นั่ง อิอิ
ในวันที่เราเดินทางอากาศไม่ค่อยดีนัก ฝนโปรยปรายตลอดทาง แต่วิวก็ยังมีความสวยในแบบฝนตกๆ ก็ยังมีข้อดีอยู่นะคะ
ภาพวิวทุ่งหญ้าสีเขียว มีบ้านเรือน ปลูกตามแนวเชิงเขา ถึงแม้จะมีหมอกบางๆ ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ แต่ภาพก็ยังสวยงามอยู่ดี
เมื่อรถไฟแล่นไปเรื่อยๆ ระดับความสูงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกตารางเมตรก็เริ่มปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีขาว
ป้ายบอกสถานีต่อไป KleineScheidegg
เมื่อขึ้นไปถึงสถานี KleineScheidegg ความสูง 2,061 เมตรในเวลา 10.49 ตรงเป๊ะตามตาราง ถ้าหากว่าอากาศดี เราจะสามารถมองเห็นยอดเขา 3 ยอดอย่างชัดเจน นั่นก็คือ Eiger (ไอเกอร์) หมายถึงคนแก่ มีความสูง 3,970 เมตรMonch (เมินช์) หมายถึง พระ มีความสูง 4107 เมตรJungFrau(ยุ้งเฟรา) หมายถึง หญิงสาวพรหมจรรย์ มีความสูง 4,158 เมตร
แต่โชคของเราไม่ดีเลยเห็นแต่หมอกขาวๆ เต็มไปหมด จากฝนโปรยก็เริ่มกลายเป็นหิมะค่ะ ในความโชคไม่ดีที่ไม่เห็นหิว แต่ก็เป็นครั้งแรกของเราที่เห็นหิมะตกค่ะ เกล็ดหิมะสวยมากๆค่ะ
สถานีนี้เราจะเปลี่ยนขบวนไปยัง สถานี Jungfraujoch เรียกได้ว่าเป็นสถานีรถไฟที่สูงที่สุดในโลก โดยจะออกจากสถานีเวลา 11.00 หากใครไม่ได้แวะซื้อของที่ระลึกก็สามารถเดินทางต่อได้ทันทีค่ะ รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟขบวนสีแดง และเป็นรถไฟไต่เขาของแท้เลยค่ะ
รถไฟขบวนนี้มีวิดิโอแสดงประวัติของการสร้างรถไฟ รวมถึงการอธิบายจุดที่จะท่องเที่ยวเมื่อขึ้นไปถึง Jungfraujochและหากนั่งทางฝั่งขวาของรถไฟก็จะเห็นวิวได้ชัดกว่า รวมถึงมองเห็นสถานีที่เราเพิ่งผ่านมาด้วยค่ะ
เส้นทางระหว่างสถานี KleineScheideggไปยังสถานี Jungfraujoch จะเป็นการวิ่งเจาะทะลุภูเขา จึงมองไม่เห็นวิวด้านนอก
ทำให้มีการทำจุดแวะพัก 2 จุดนั่นคือ Eiger wall (ไอเกอร์วอลล์) ความสูง 2,685 เมตร และ Eismeer(ไอซ์แมร์) ความสูง 3,160 เมตร เป็นการชมวิวผ่านทางกระจกที่ถูกเจาะไว้ จุดละ 5 นาที ไม่ต้องรีบเดินนะคะ เนื่องจากอากาศเริ่มน้อยแล้ว
ถ้าหากอากาศดี จุด Eiger wall เราจะเห็นวิวเมืองที่ผ่านมา ทั้ง Interlaken, Grindelwaldหรือ Lauterbrunnenส่วน จุด Eismeerจะเห็นยอดเขา Jungfrau ในอีกมุมก่อนที่จะขึ้นไปถึง แต่นั่นล่ะค่ะ โชคไม่ดี เลยเห็นหน้าต่างขาวโพลนตามภาพค่ะ
ถึงแล้วสถานี Jungfraujochเวลา 11.52 เกือบได้เวลาอาหารกลางวันแล้วค่ะ
เราก็จะเห็นทางเข้ามี รูปปั้นของนาย A.Guyer-Zeller ผู้ริเริ่มคนแรกในการจัดทำรถไฟไต่เขาสายนี้ขึ้นมาค่ะ
เมื่อเข้าภายในอาคารก็จะรู้สึกอุ่นสบายด้วยเครื่องทำความร้อน ภายในจะจัดแสดงเล็กๆ ถึงภาพ อุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ อุณหภูมิภายนอกหากเป็นช่วงหน้าหนาวก็จะราวๆ ติดลบเลขสองหลัก แต่ในวันฟ้าเปิดช่วงฤดูร้อนเนื่องจากอยู่สูงทำให้ใกล้ดวงอาทิตย์ อุณหภูมิจะอยู่ราวๆ 2 ถึง ติดลบ2 องศาเซลเซียส
ด้านในมีร้านขายโปสการ์ด และสามารถส่งโปสการ์ดของเราได้ที่นี่ ไปรษณีย์ที่สูงที่สุดในยุโรป แต่เนื่องจากเราเตรียมตัวมาตั้งแต่ที่พักแล้ว ก็สามารถส่งได้เลยค่ะ อ่อสำหรับ Passport สีแดงก็สามารถ Stamp ประทับตราได้ที่นี่นะคะ เสียดายที่ลืมค่ะเลยอดเลย
ปฏิบัติภาระกิจเรียบร้อย แล้วเจอกันนะจ๊ะโปสการ์ดจ๋า
นอกจากร้านขายของที่ระลึกและโปสการ์ดแล้วยังมีร้านกาแฟ ร้านอาหารเอาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว สามารถเลือกชิมกันได้ตามสะดวกค่ะ
ร้านอาหาร
• Crystal Restaurant อาหารชุดประจำวันและฟองดูราคาประหยัด
• Bollywood Restaurant อาหารอินเดียนเป็นหลัก
• Self Service Restaurant อาหารทำแล้วบริการเช่น สปาเก็ตตี้ ลาซานญ่า ไก่ทอด
ตอนที่ไปถึงเหมือนร้านอาหารจะโดนจองเต็มไปหมดแล้ว เราก็เลยเลือกร้านแบบบริการตัวเอง แต่เนื่องด้วยอากาศไม่ค่อยอำนวย มีอาการปวดหัวเล็กน้อย ทำให้เราเลือกแค่ขนมปังกับผลไม้ที่ร้านแบบ Self service ค่ะ
ภายในมีทั้งบันไดและลิฟท์ให้เลือกใช้กันตามสะดวก ตอนเดินชมบรรยกาศแรกๆ ก็ใช้บันไดนะคะ แต่สักพักก็เริ่มจะเจียมสังขาร เหนื่อยง่ายมากเลยค่ะ เลยเลือกใช้ลิฟท์แทน
ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ค่ะนั่นก็คือการทำเหรียญที่ระลึกค่ะ ซึ่งวิธีทำก็แค่ใส่เหรียญลงไป แล้วก็หมุนค่ะ
ฮึบๆๆ หมุนๆ
เราก็ได้เหรียญที่ระลึกมาแล้วค่ะ
มาดูแผนผังการเข้าชมที่นี่กัน ที่นี่แบ่งจุดการเข้าชมหลายจุดด้วยกัน แต่มีป้ายบอกตลอดถ้าเราไปตามป้ายก็ไปถูกแน่นอนค่ะ
• Ice Palace(ไอซ์พาเลซ): ถ้ำน้ำแข็งที่ถูกเจาะจากธารน้ำแข็ง (Aletsch Glacier) ที่ทับถมกว่าพันปี เป็นธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดใหญ่ที่สุดในยุโรป ยาว 12 km
• Plateau (พะและโท) : เป็นจุดชมวิวยอดนิยม สามารถเห็นธารน้ำแข็งได้ไกลเป็นกิโลเมตร มีลมกระโชกแรงมากกว่าจุดอื่น
• Exhibition:ห้องแสดงงานความเป็นมาและประวัติการสร้างรถไฟ
• Sphinx Viewpoint :จุดชมวิว และเป็นสถานีวิจัยอากาศ ต้องขึ้นลิฟท์สูงไปเป็น 100 m ในหน้าร้อนเปิดให้ชมวิวด้านนอกด้วย 360 องศา
• Exit to Glacier :เปิดออกสู่ธารน้ำแข็ง ทำกิจกรรมต่างๆ นั่งกระดานเลื่อนหิมะ
เรากำลังจะไปที่ Sphinx Viewpoint รอบนี้คนอินเดียล้วน เราเลยคิดว่ารอรอบถัดไปน่าจะดีกว่านะ อิอิ
เสียดายอีกแล้วที่จุดชมวิววันนี้มองไม่เห็นอะไรเลย หิมะตกทั้งวัน
วิวนี้ที่พลาด ขอติดไว้ก่อนนะ จะกลับมาใหม่
ฝันให้ไกล ไปให้ถึง
หลังจากไม่มีอะไรให้เล่นเราก็จะไปดูถ้ำน้ำแข็งกัน
คุณวัวมาเล่นเป็นเพื่อนหน่อย
มีสัญลักษณ์ดอกเอลป์อยู่ทั่วไประหว่างทางเดิน
เรากำลังจะเข้าสู่ ถ้ำน้ำแข็งที่ถูกเจาะจากธารน้ำแข็ง (Aletsch Glacier)
บนทางเลื่อนฝาผนังจะแสดงภาพของบรรยากาศต่างๆ ของการก่อสร้างทางรถไฟไต่เขา
หนาวขึ้นเรื่อยๆ
เข้ามาแล้วทางเดินในถ้ำน้ำแข็งยาวไปเรื่อยๆ
มีการสลักน้ำแข็งเป็นรูปต่างๆ ดูเพลินเลยค่ะ
รูปนกก็มา
เจ้าตัวนี้ก็มา Freeze อยู่ที่นี่ด้วย
มีจุดให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้วยค่ะ
เดินเล่นไปเรื่อยๆ แบ่งเป็นหลายห้องหลายมุม
มุมนี้แคบจัง แต่ถ้าเดินสองคนคงโรแมนติก
มาถึงการอธิษฐานว่ากันว่าหันหลังเอาเหรียญโยน ถ้าหากเข้าไปป์ จะได้กลับมาอีก
ออกจากถ้ำน้ำแข็งแล้ว แต่หิมะก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุดตก ปกติแล้ว Exit to Glacier จะสามารถทำกิจกรรมต่างๆ นั่งกระดานเลื่อนหิมะ แต่เราก็คงอดละ
หนาวมาก กลับเข้ามาในอาคารดีกว่า ป้ายแสดงจุดต่างๆ ของที่นี่
ได้เวลากลับแล้ว อย่าลืมดูตารางรถไฟ กลับก่อนเที่ยวสุดท้ายนะจ๊ะ
ตารางเวลารถไฟขาลง ฝั่ง Lauterbrunen ค่ะ เราทำเอาไว้ จะได้กันลืม
หิมะยังคงตกโปรยปราย ขากลับเราลงอีกทาง Lauterbrunnen เพื่อวิวจะได้ไม่ซ้ำกันนะคะ เกือบจะตีกับสถานี เนื่องจากต้นทางออกตั๋วให้ผิด แต่นายสถานีใจดียอมเปลี่ยนให้ เนื่องจากเราเอาสำเนา Voucher ที่ซื้อไว้ให้ดูค่ะ
แอบถ่ายโบกี้ข้างๆ สีแดงแรงฤทธิ์
เมื่อวิวเปลี่ยน สีรถไฟก็เปลี่ยนค่ะ เป็นสีเขียวนะคะฝั่งนี้
ข้างทางเป็นวิวภูเขา และส่วนใหญ่จะเป็นน้ำตก
วิวเมืองแบบอลังการงานสร้าง
นี่ขนาดฝนตกวิวยังสวย
รถไฟค่อยๆ แล่นไปตามราง มุ่งตรงไปยังสถานีด้านล่างอย่างช้าๆ ตามจังหวะ
เมื่อขบวนรถไฟสวนกันพอดี
บ้านไม้แบบสวิสจะอุ่นมั้ยน้า
เริ่มเห็นน้ำตกที่ตกจากเขาสูงแล้ว ลิบๆ
วิวนี้ถ้าหากไม่มีหมอกคงจะสวยมากๆ
ภาพมุมกว้าง
นอกจากภูเขาแล้ว รถไฟยังวิ่งผ่านธารน้ำแบบนี้ด้วย
ดอกไม้สีขาวนั่นจะใช่ดอกเอล์ฟมั้ยนะ
วิวนี้ชอบต้นไม้ที่อยู่กลางทุ่งหญ้า ห้อมล้อมด้วยขุนเขา
ถึงละสถานีปลายทาง
นั่งรถไฟมีวิวสวยๆ ให้ชมตลอดทาง
ลงมาด้านล่างขอเก็บดอกไม้รายทางเล็กน้อย
จบการเดินทางวันที่สองในสวิตเซอร์แลนด์ เที่ยวต่อกันในตอนหน้านะคะ
- Europe – การทำวีซ่า Schengen
- Europe - การเตรียมตัวเพื่อเดินทางไกล
- Europe Trip - Golden Experience ตอนที่ 1 บินลัดฟ้าสู่ประเทศในฝัน
- Europe Trip - Golden Experience ตอนที่ 2 บ่ายวันแรก Bassano del Grappa
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 3 มนต์เสน่ห์แห่ง Venezia
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 4 Milan อลังการ มหาวิหาร Duomo
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 5 ท่องเมืองโรแมนติก Verona & ยามบ่ายชิวๆ ที่ Lake Sirmione
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 6 ขึ้นเขา Asiago ไปชมวิว - Vicenza Italy
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 7 ตามหากาลิเลโอ - Pisa Italy
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 8 มหัศจรรย์ Roma Italy โคลอสเซียม โรมันฟอรัม
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 9 Paris ที่รัก I love Eiffel
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 10 Paris ตามรอยดาวินชี พิพิธภัณฑ์ Louvre - shopping ชองเซลิเซ่
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 11 สู่ดินแดนในฝัน สวิตเซอร์แลนด์ ล่องทะเลสาป Brienz
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 12 สวิตเซอร์แลนด์ เส้นทางสู่ Jungfraujouh Top of Europe
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 13 สวิตเซอร์แลนด์ ชมเมือง Interlaken
- Europe Trip – Golden Experience ตอนที่ 14 Italy เที่ยวตลาดพื้นเมือง Vicenza
1,953 total views, 1 views today